เทศน์เช้า

พระโพธิสัตว์

๕ ธ.ค. ๒๕๔๓

 

พระโพธิสัตว์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถ้าในหลวงนี่ว่ากันว่าเป็นพระโพธิสัตว์ วันเกิดพระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่มีบุญ คนบุญพาเกิด เราอาศัยบุญกุศลอันนั้นได้ด้วย พระโพธิสัตว์มีหลายระดับ พระโพธิสัตว์ตั้งแต่ต้น ระดับกลาง ระดับอย่างสูง ดูอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนเกิดสิ เกิดมา คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา มารดาต้องตายไป เพราะว่าเกิดเฉพาะครรภ์นั้นเกิดได้คนเดียว นี่เวลาเกิดมาเดินได้ ๗ ก้าว เปล่งวาจาได้ ๗ คำ เวลาเกิดมา แต่พระโพธิสัตว์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรม แล้ววางไว้นะ วางศาสนาไว้

เราคิดดูสิถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องศาสนาเลย แล้วเผยแผ่ศาสนาได้ วางศาสนาได้จน ๒,๕๐๐ กว่าปีมานี่ แล้วศาสนายังยืนยงไปอีก ๕,๐๐๐ ปี พระโพธิสัตว์ที่ตรัสรู้ที่ว่าเข้ม เวลาเกิดมาบุญกุศลมหาศาลเลย แล้วใครเกิดมาช่วงนั้นเป็นสหชาติจะได้อาศัยบุญกุศลนั้น ได้เปิดนะสังคมจะร่มเย็นมาก สังคมจะร่มเย็นเพราะอะไร เพราะเรื่องของศาสนา เรื่องของศีลธรรมเข้าไป คนจะไม่เบียดเบียนกันจนเกินกว่าเหตุ

อันนั้นเรื่องอาศัยของร่างกาย แต่เรื่องอาศัยของหัวใจ เห็นไหม พระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ ปัญจวัคคีย์เป็นพราหมณ์ อัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้ศึกษามาทั้งหมดเลย แต่ก็ไม่สามารถรู้อะไรได้ พวกลัทธิศาสนาต่างๆ ที่เขาเกิดขึ้นมาแล้ว เขาปฏิญาณตนว่าเขาสำเร็จแล้วเป็นพระอรหันต์สอนกัน เขาก็สอนกันแบบว่าเป็นแค่กดไว้เฉยๆ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมันถึงเป็นประโยชน์ขนาดนั้น พระโพธิสัตว์

ของเราก็เหมือนกัน องค์ในหลวงเราถ้าคิดว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่พระโพธิสัตว์ขณะนี้ สังคมร่มเย็นไหม เราอาศัยความเป็นอยู่ของท่าน ดูสิสังคมเมืองไทย ขนาดเมื่อก่อนที่ว่าโดมิโนจะมาต้องล้มไปหมดถ้าตามหลักทฤษฎี แต่ก็อยู่ได้ อยู่ได้เพราะความค้ำไว้ เราเกิดมาร่วมสมัย ทำบุญกุศลนี่อุทิศส่วนกุศลให้ในหลวง อุทิศส่วนกุศลให้ในหลวง แต่เราก็ได้ความร่มเย็นของเราด้วย ได้ความร่มเย็นของเราเพราะว่าเราได้อาศัย ผู้มีบุญพาเกิด แล้วเราเกิดร่วมผู้มีบุญนั้น

พระโพธิสัตว์ เห็นไหม เวลาเกิดในพระไตรปิฎก เกิดเป็นกวาง เป็นกวางทอง เป็นอะไร เป็นลิงก็เคยเป็น พระโพธิสัตว์ท่านเกิดอย่างนั้น แต่ขณะที่เป็นลิงในพระไตรปิฎก ปกป้องคุ้มครองพวกของตัวนะ โดนนายพรานยิงนี่หนีขนาดไหน หนีไป แล้วมันไปถึงหน้าผาชันมันไปไม่ได้ ลิงตัวนั้นที่เป็นหัวหน้านอนพาดไปเลย แล้วให้ลูกน้องข้ามไป ข้ามไปๆ นี่หัวหน้าคนทำอย่างนั้น เวลาเราเป็นสัตว์ เป็นสัตว์แลกกันด้วยชีวิต เวลาตกใจมาก เวลากลัวขึ้นมา ความทุกข์อันนี้มันขนาดไหน แต่มีหัวหน้า มีผู้พาไป มีผู้พาให้เราพ้นจากอันนั้นออกไป มันก็ทำให้ความทุกข์อันนั้นมันผ่อนคลายลงได้ หัวหน้าที่ดี

ในของครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังว่า พวกเรานี่มีอยู่ว่าพระเวลานั่งภาวนาอยู่ไง ภาวนานั่งอยู่ เห็นปลามาเข้าฝัน ปลามาเข้าทางนิมิตว่าพรุ่งนี้เช้าบิณฑบาตไปขอให้ไปขอปลาชุดนี้ เพราะเขาขังเอาไว้ในกระชังของเขา แล้วพระองค์นั้นถามว่า “ทำไมต้องมาบอกผมล่ะ”

ปลาตัวนั้นในนิมิตมันพูดได้ไง ปลาตัวนั้นว่า “เขาเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะเขาเกิดเป็นปลา ปลาฝูงนั้นจะโดนเขาฆ่า ขอให้พระองค์นี้ไปช่วย”

“แล้วทำไมต้องมาบอกพระองค์นี้”

“ท่านก็เป็นโพธิสัตว์ ปลาก็เป็นโพธิสัตว์”

นี่บอกให้พระไปขอ พระบิณฑบาตไปตอนเช้าก็ไปเจอจริงๆ เดินบิณฑบาตไปที่บ้านเขา แล้วก็เดินไปหลังบ้านไง ก็ขอ เพราะโยมสนิทกัน ขอปล่อยปลานั้นไปทั้งหมดเลย เห็นไหม พระโพธิสัตว์เวลาเกิดนี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง พระโพธิสัตว์เวลาเกิดขึ้นมาเพื่อจะสร้างบารมีของตัวเองต่อไปๆ จนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าก็รื้อค้นออกไป รื้อค้นออกไป เกิดร่วมสมัยมันจะได้บุญกุศอย่างนั้นตลอดไป เราก็เกิดร่วมสมัย แล้วเราก็เป็นเองได้ถ้าใครปรารถนาเป็นโพธิสัตว์นะ

ในตำราว่าไว้ว่าเวลาพระพุทธเจ้าลงมาจากดาวดึงส์ เปิดโลกทั้งหมด ขนาดที่ว่าคนในราชคฤห์นั้นต่างคนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหมด อธิษฐานว่าขอเป็นพระโพธิสัตว์ ต้องสร้างสมบารมีต่อไป แต่ไปแล้วจะไปได้แค่ไหน สร้างสมบุญไปแล้วไปเปลี่ยนไปพลิกก็ได้ เพราะอันนี้เป็นเป้าหมายไง เป้าหมายว่าใจนี้มีเป้าหมายว่าจะเดินไปขนาดนั้น ถ้าจะทำได้จะทำอย่างนั้น ถ้าทำไม่ได้ก็พลิกได้ เพราะอันนี้มันสั่งสมบุญมา สั่งสมบุญมาเป็นบุญกุศลภายใน บุญอันนี้มันเกิดขึ้นจากอาการของมันคือความคิด อาการของมันคือโอกาสของใจ เราจะเปิดไหม

อย่างเช่นเรามาวัดมาวากัน นี่ผู้ที่มีวาสนาถึงอยากจะเข้ามาทางนี้ไง มันเป็นสิ่งที่ว่ามองไม่เห็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกธรรมนี่เป็นของที่ลึกซึ้งมาก กว้างขวางมากถึงจับต้องไม่ได้ อย่างเช่นอากาศ เห็นไหม เราหากันแต่เรื่องวัตถุนะว่าต้องมีวัตถุเป็นเครื่องอาศัยปัจจัย ๔ แต่คนลืมมองอากาศว่าไม่ต้องซื้อนะ อากาศนี้เป็นของที่มันมีอยู่ในอากาศที่มันเป็นไปในธรรมชาติ มันละเอียดอ่อนมาก แต่เราต้องอาศัยอากาศนี้เพื่อหายใจ ออกซิเจนหายใจเพื่อไปฟอกเลือดฟอกอะไรของเราในร่างกายของเรา นี่มันเป็นสิ่งที่เราไม่เห็นคุณค่าของมันเลย เราไปเห็นคุณค่าที่ต้องซื้อ ต้องแลก ต้องขายมา มันเป็นวัตถุ

อันนี้ก็เหมือนกัน คุณค่าของน้ำใจ คุณค่าของหัวใจเราเองไง หัวใจเราเองเชื่อในเรื่องสิ่งที่ว่าคนเขาไม่เชื่อ คนเขาว่าสิ่งนั้นพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งนั้นพิสูจน์ไม่ได้...มันพิสูจน์ไม่ได้ตรงไหน สิ่งที่ว่าพิสูจน์ไม่ได้มันผลักไสโดนกิเลสมันหลอกไง พิสูจน์ไม่ได้มันก็พิสูจน์ที่หัวใจสิ หัวใจทุกข์หรือไม่ทุกข์ หัวใจเวลามันเศร้าหมอง เวลามันผ่องแผ้วทำไมมันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเราได้ หัวใจนี้เวลาเราหาสิ่งที่พอใจมามันก็ได้ชั่วคราว

สิ่งที่ได้ชั่วคราวมา เห็นไหม เพราะของนั้นเป็นของยืม ของนี้เป็นของอาศัย ร่างกายนี้ก็เป็นของยืม ยืมแล้วต้องคืนเขา นี่ก็ยืมธาตุดิน ธาตุลม ธาตุน้ำ ธาตุไฟมา ยืมมา ธาตุ ๔ นี่ยืมมา ยืมจากโลกนี้มา แล้วอาศัยเป็นร่างมนุษย์ชั่วคราว นี่ก็ของยืม แต่ของยืม คำว่ายืมนี้เป็นสัจจะเป็นธรรม แต่ถ้าความเป็นจริง จริงตามสมมุติ ทางวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ได้ตรงนั้น ถึงเรื่องของหัวใจมีคุณค่ากว่า หัวใจมันเป็นของเราเอง มันไม่ใช่ของยืม ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาก็เกิดเป็นเรา โอปปาติกะเกิดเป็นเทวดา

เวลาโอปปาติกะ ใจนี้มันออกไป ไปเกิดในน้ำครำ ไปเกิดเป็นตัวหนอน เกิดหมด ใจตัวนี้เป็นตัวเกิด แต่ขณะที่เกิดแล้ว สถานะที่เป็นไปนี่มันไม่รู้ สถานะก็คือภพชาตินั้น แล้วพอเกิดใหม่ก็ไปชาติใหม่ๆ แต่ไอ้พลังงานตัวเก่าคือหัวใจมันขับไสไป มันเปลี่ยนแปลงไปตลอด มันถึงว่าเป็นเราเพราะมันไปได้ตลอด มันไม่มีวันที่สิ้นสุด ถ้ามีวันที่สิ้นสุด มันจบชาติเดียวๆ

ทำไมคนเกิดมาไม่เหมือนกัน จริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน ความชอบของคนไม่เหมือนกัน แม้แต่มาประพฤติปฏิบัติก็ไม่เหมือนกัน บางคนประพฤติปฏิบัติไปง่าย บางคนไปได้ยาก ต้องถูต้องไถไป แล้วบางคนเป็นไป เห็นไหม ถ้ามันเป็นไป นี่อำนาจวาสนาที่สะสมมา ที่ว่าเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ ความเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ ความปรารถนา แต่เวลาพลิกขึ้นมา บุญกุศลนั้นมันเสริมมา ใจเราก็เหมือนกัน ถ้าอันนี้เราทำของเราได้ เราเกิดร่วมสมัยเราก็อาศัยบุญกุศลนั้นสืบไป

ฉะนั้น เราทำบุญกุศลที่ทำอยู่ขณะนี้ เราก็คิดมาเป็นของเราก็ได้ เราตั้งมาเป็นของเรา บุญกุศลนั้นเป็นของเรา แล้วอุทิศส่วนกุศลไป มันได้ ๒ ชั้น ชั้นหนึ่งคือผู้กระทำนั้นได้ก่อน แล้วเราอุทิศส่วนกุศลไปให้กับ...เห็นไหม ซึ้ง เข้าใจ พอใจในบุญกุศลนั้นที่เราได้พึ่งพาอาศัยอันนั้น บุญมันก็ย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามาที่หัวใจของเรา เราก็สร้างสมขึ้นไป มันก็เป็นพื้นฐานของเรา ใจเข้าใจตรงนี้มันถึงว่าจับต้องได้ไง

สิ่งที่จับต้องได้ อากาศเป็นอากาศ เราว่าอากาศนี่เรายังพิสูจน์ได้ว่าเป็นอากาศ อาการของใจพิสูจน์ได้ด้วยตัวเราเอง ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน รู้จำเพาะตนว่าใจเรามีความสุขขนาดไหน มีความเศร้าหมองขนาดไหน ความทุกข์ขนาดไหน มันอยู่ในหัวใจของเรา แล้วเราเชื่อหรือไม่เชื่อล่ะ มันเชื่อแต่มันทำได้ยากไง ทำคุณงามความดีเหนี่ยวรั้งใจไว้ให้เป็นอิสระกับตัวเองนะ ขณะที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้มันเป็นขี้ข้าของความคิดไง อารมณ์นี้มันครอบงำไว้หมดเลย มันผลักไสไปตามแต่ที่มันจะขับไสออกไป

ถ้าเราพยายามทำความสงบเข้ามา เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา ทานนี่กำจัดความคิด ทานพยายามดึงเราเข้ามา กำจัดความคิดเรื่องภายนอก แล้วความคิดภายในล่ะ ความคิดภายนอกหมายถึงว่ามันไม่อยากเป็น ไม่อยากทำไง นี่ความคิดภายนอก เปลือกข้างนอกเข้ามา ความคิดภายในที่มันขุ่นอยู่ในหัวใจ นี่มันขุ่นในหัวใจ อันนี้มันครอบคลุมใจอยู่ ถึงไม่เป็นอิสระไง ทำความสงบของเราเข้ามา พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น ทำความสงบเข้ามา แม้แต่ศาสนาเราไม่มี ความสงบของใจ ในลัทธิต่างๆ เขาสอนอยู่แล้ว

พื้นฐานธรรมชาติของมัน ใจที่ฟุ้งซ่าน พายุที่เกิดขึ้น พายุนั้นไม่ปั่นป่วนตลอดเวลา พายุนั้นต้องสงบตัวลงคราวหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่ อารมณ์นี้ก็เหมือนกัน เวลามันทุกข์มันร้อนมันเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่แล้วมันก็ต้องดับไปโดยธรรมชาติของมัน แต่ไม่มีใครสามารถจับตรงนี้มาเป็นประเด็นได้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วถึงได้ย้อนกลับมาตรงนี้ไง เกิดดับๆ เพราะสถานะของขันธ์ ๕ เราเกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันคลุมใจอยู่ แล้วทำความสงบเข้ามาก็แค่เข้าไปกดไว้เฉยๆ เข้าไปกดไว้เฉยๆ มันก็มีความสุขของมัน

ความสงบนี้ทำให้เราเป็นอิสระกับตัวเราเอง พอเป็นอิสระกับตัวเราเอง มันเป็นอิสระแล้วเป็นทางสองแพร่งที่เราจะเลือกโลกียะหรือโลกุตตระ โลกียะก็รู้เห็นต่างๆ ไป ความรู้เห็นติดกับโลกไป นรกสวรรค์อยากรู้ไปเพราะมันเวียนอยู่ใน ๓ โลกธาตุ โลกุตตระไม่ต้องไปตรงนั้น กลับมาไอ้ตรงความคิด แล้วจับดูว่าจิตนี้มันเศร้าหมอง เศร้าหมองเพราะเหตุใด มีอะไรเป็นเชื้อ เป็นต้นเหตุ เห็นไหม กิเลสมันอยู่ที่ใจนั้น นี่ถ้าเราแยกเข้ามาเป็นโลกุตตระ ยกขึ้นวิปัสสนา ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาเราก็จะเป็นไปได้

จากบุญกุศลที่เราอุทิศส่วนกุศล เป็นพระโพธิสัตว์มีความร่มเย็น บารมีปกป้องพวกเราอยู่ อันนั้นเราเกิดแล้วเราพบพระพุทธศาสนา เรามีโอกาสตรงนี้มันถึงขวนขวาย คนขวนขวาย คนเข้าใจตรงนี้ไง พระโพธิสัตว์ก็ต้องรื้อสัตว์ขนสัตว์ไป เพื่อปรารถนาบุญบารมี อันนั้นมันเป็นเรื่องของโลกภายนอก โลกที่มันหมุนเวียนไป แต่เรากำจัดกิเลสของเราเลยนี่มันสำคัญกว่านะ กำจัดกิเลสของเราได้มันพ้นจากการหมุนเวียนไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน พระอริยสาวกต่างๆ ที่ตรัสรู้ ที่รู้ตามธรรมก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่มันต่างกันด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่การสะสมนี่แหละ เราสะสมมามากมันก็ได้อำนาจวาสนามาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาไปบอกไงว่าพระพุทธเจ้านี่เป็นพระพุทธเจ้าถึงมีคนมานับถือมาก ถึงมีคนมาให้ทานมาก พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ตรงนั้นเลย สิ่งที่มันเกิดขึ้นนี้เพราะท่านทำมา

ฟังสิคำว่าสละทานมา สละทานแม้แต่ลูกแต่เมีย สละออกทั้งหมด แล้วเวลาสละออก เห็นไหม เราสละออก คนว่าเอาเปรียบ พระเวสสันดรนี่เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ ไม่ได้คิดมุมกลับ มุมกลับว่าในเมื่อสามีภรรยาเป็นผู้ที่รักใคร่กัน บุตรนี่รักมาก ความรักมากพลัดพรากออกไปมันสะเทือนหัวใจมากนะ คนที่เรารักเราปรารถนานี่เจ็บไข้ได้ป่วย เราว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วยแทนก็ได้ ทำงานนะ เขาอยู่เฉยๆ เราทำงานแทนก็ได้ แล้วพลัดพรากออกไป ความพลัดพรากไป จะว่าเห็นแก่ตัวไม่ได้หรอก เพราะมันสะเทือนใจกว่า ถ้าจะเอา เอาเราไปเสียดีกว่าเอาคนที่เรารักไปจริงไหม

แต่นี่เพราะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ ต้องพลัดพราก ต้องสะเทือนถึงใจ สะเทือนถึงใจมันสะเทือนถึงหัวใจ ถึงขั้วของหัวใจ กิเลสมันอยู่ตรงนั้น เห็นไหม นี่สละแม้ขนาดนั้น สละออกมาทุกอย่าง พอสละออกไปมันก็สะสมมาเป็นกรรมดีที่จะได้รับผลบุญอันนั้น พอเกิดพระพุทธเจ้าแล้วสิ่งที่ทำไว้ต่างหากมันถึงย้อนกลับมาไง สิ่งที่ทำไว้ต่างหากมันย้อนกลับมาๆ คนเชื่อบารมี คนเลื่อมใสพระพุทธเจ้าเพราะการกระทำทั้งหมด สิ่งนั้นทำมา แล้วเราก็ทำของเรามาๆ แต่ไม่ถึงขนาดนั้นเราก็ทำให้กิเลสเราสิ้นได้ สิ้นได้เพราะว่าเราเชื่อเรื่องศาสนา เราเชื่อเรื่องยา คนเราเดินเข้าไปหายา พอกินยาเข้าไปโรคนั้นต้องหาย

ถ้าใจเราเริ่มเชื่อ เห็นไหม คุณค่าของอำนาจวาสนามันเกิดตรงนี้ เราถึงย้อนกลับมาว่าพวกเราต้องมีอำนาจวาสนาถึงได้ปักใจเชื่อตรงนี้ ปักใจเชื่อแล้วประพฤติปฏิบัติ มันเปิดประตูไง เปิดให้อากาศเข้า เปิดให้ธรรมะเข้าในหัวใจของเรา แล้วธรรมะเข้านี่สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา จากศึกษาเล่าเรียนแล้วเราประพฤติปฏิบัติ

ความประพฤติคือดัดตน คือการบังคับใจของตัวเราเองไว้ เราบังคับของเราเองมันก็เข้าถึงใจ พอถึงใจ อันนั้นเป็นความสัมผัสของใจ เป็นเนื้อของใจ เป็นประสบการณ์ของใจที่สัมผัสกับธรรม อันนั้นถึงเป็นประโยชน์จริง ถึงว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ภาวนา เห็นไหม การภาวนาถึงเกิดปัญญาอันนั้น ภาวนาอันนี้มันจะชำระกิเลสของเราไป มันดัดหัวใจ ดัดความเคยใจ กิเลสคือความเคยใจ มันจะไปตามประสามัน ไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งหมด แล้วธรรมอันนี้เข้าไปจัดระเบียบของมัน แล้วดัดแปลงมันจนกว่ามันจะสิ้นออกไปจากใจ นี่ธรรมที่มันเป็นที่ว่าหัวใจเท่านั้นที่สัมผัสกับธรรม หัวใจเท่านั้นเป็นที่รับธรรมที่ว่าเป็นเนื้อของธรรม

หนังสือก็เป็นกระดาษที่ว่ามีตัวอักษรไว้ เราไปอ่านหนังสือเราถึงจะเข้าใจตามหนังสือนั้น เห็นไหม แล้วเราไปอ่าน ใครเป็นคนอ่าน? ใจต่างหากเป็นคนอ่าน คนรับรู้ ตาก็แค่กระทบ ตานี่กระทบ ถ้าเรามองเฉยๆ โดยที่ไม่มีความรู้สึกมันก็ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่เพราะเราตั้งใจอ่าน พอตั้งใจ ใจมันเกิดขึ้นแล้ว ความตั้งใจของใจเกิดขึ้น กระทบถึงใจ มันสะเทือนเข้าไปที่หัวใจทั้งหมดเลย แต่ก็เป็นสุตมยปัญญา เพราะมันมีสิ่งที่ปกป้องอยู่ในหัวใจของมัน หัวใจปกป้องว่ามันจะเป็นไปได้หรือ อ่านประวัติครูบาอาจารย์มันจะทำอย่างนั้นได้หรือ คนเราจะทำได้ขนาดนั้นหรือ นี่สิ่งนี้คือความลังเลสงสัย แล้วเราพยายามปฏิบัติเข้าไป

สิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น สิ่งที่ใจสัมผัส สิ่งที่ใจรู้อันนั้นเป็นของเรา พอของเราสัมผัสเข้าไปๆ นี่ประสบการณ์ของใจ เนื้อของใจรับรู้ นี่ตรงนี้ถึงว่าเป็นใจเท่านั้นที่เป็นภาชนะรับธรรม สิ่งที่จารึกมานั้นเป็นแค่ส่วนภายนอกที่เราต้องไปศึกษา ศึกษาเข้ามาแล้วก็เป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา หัวใจของเราถึงสิ้นไปเป็นของเราเอง เอวัง